Publish Date: 25/08/2025
แม้ว่าในปี 2564 ไทยจะเผชิญกับสถานการณ์ COVID-19 แต่การลงทุนของต่างชาติในสาขาที่พักแรมและด้านอาหารกลับเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 94 เท่า ซึ่งส่วนใหญ่เข้ามาลงทุนในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ได้แก่ ในกรุงเทพมหานคร จังหวัดชลบุรี สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และเชียงใหม่ ทั้งนี้ การเข้ามาลงทุนของต่างชาติได้ส่งผลกระทบในหลายด้าน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จึงร่วมกับบริษัท ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ จำกัด (SAB) ดำเนินการสำรวจและศึกษาเกี่ยวกับสถานการณ์ การรับรู้ และทัศนคติของผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ขนาดย่อม (Small) และรายย่อย (Micro) ของไทย ต่อการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ ใน 5 จังหวัดข้างต้น โดยผลการสำรวจและศึกษา พบว่า ผู้ประกอบการไทยรับรู้ถึงการเข้ามาของทุนต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่มองว่าเป็นการเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย และมีการดำเนินการเน้นแบบผูกขาด โดยผู้ประกอบการร้อยละ 81.5 เห็นว่าธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารของต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากสถานการณ์ COVID-19 ขณะเดียวกัน ในกลุ่มที่ทราบถึงการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ กว่าครึ่งมองว่าทุนต่างชาติที่เข้ามาเป็นการดำเนินการอย่างผิดกฎหมาย อาทิ นอมินี (nominee) ใช้กลยุทธ์การขายตัดราคา หรือจัดโปรโมชันพิเศษเป็นประจำ มีการร่วมมือกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเพื่อผูกขาดลูกค้า จึงทำให้ผู้ประกอบการกว่าร้อยละ 68.0 มองว่าทุนต่างชาติทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งผู้ประกอบการไทยกว่าครึ่งที่ได้รับผลกระทบเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดย่อม (Small) มากกว่ารายย่อย (Micro) โดยธุรกิจไทยต้องสูญเสียลูกค้าให้กับธุรกิจต่างชาตและสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดไป ทั้งนี้ 1 ใน 3 ของผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทั้งจากค่าสิ่งของ/อุปกรณ์ วัตถุดิบ และค่าแรง ส่งผลให้มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนเพิ่มขึ้นและเริ่มมีปัญหาในการชำระหนี้ นอกจากนี้ มากกว่า 1 ใน 3 ของธุรกิจไทยไม่แน่ใจว่าจะอยู่รอดได้ และสัดส่วนดังกล่าวมีแนวโน้มมากขึ้น หากธุรกิจต่างชาติเข้ามาแข่งขันรุนแรงมากขึ้น ซึ่งแม้ว่ามากกว่าครึ่งจะมีการปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ แต่กว่า 2 ใน 3 ของธุรกิจที่พักแรม และร้อยละ 58.4 ของร้านอาหาร ระบุว่าธุรกิจไม่ดีขึ้นเลยถึงดีขึ้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งอาจเป็นผลมาจากข้อจำกัดด้านการบริหารจัดการทางการเงิน และพันธมิตรทางธุรกิจ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังมองว่าธุรกิจต่างชาติที่เข้ามาทำให้อัตลักษณ์ของพื้นที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนสาธารณูปโภค ขยะ/มลภาวะ/กลิ่น รวมถึงอาจนำปัญหาอื่น ๆ ตามมา อาทิ การทะเลาะวิวาทและยาเสพติด อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการที่พักแรมและร้านอาหารร้อยละ 25.2 ยังเห็นว่าการเข้ามาของธุรกิจต่างชาติส่งผลดีต่อธุรกิจ จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นและเป็นแรงกระตุ้นให้พัฒนาธุรกิจของตนเอง
อัตราการเติบโตของรายได้และรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือน
ที่มา : โครงการสำรวจและศึกษาผลกระทบจากการเข้ามาลงทุนของกลุ่มทุนต่างชาติฯ โดย สศช. ร่วมกับ SAB
ที่มา : ที่มา : โครงการสำรวจและศึกษาผลกระทบจากการเข้ามาลงทุนของกลุ่มทุนต่างชาติฯ โดย สศช. ร่วมกับ SAB
แม้ไทยจะมีมาตรการกำกับดูแลธุรกิจต่างชาติและสนับสนุนธุรกิจของผู้ประกอบการ อาทิ พระราชบัญญัติประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และโครงการพัฒนาทักษะการบริหารจัดการธุรกิจ แต่ผู้ประกอบการร้อยละ 85.5 กลับมองว่าภาครัฐยังไม่สามารถจัดการธุรกิจต่างชาติที่ทำผิดกฎหมายได้จริง ขณะที่ต่างประเทศมีมาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวดกว่าไทย อาทิ ประเทศสิงคโปร์ กำหนดให้นักลงทุนต่างชาติต้องจดทะเบียนนิติบุคคลผ่านบริษัทรับจดทะเบียนเท่านั้น ประเทศสหรัฐอเมริกา กำหนดให้บริษัทเกือบทุกประเภทต้องรายงานผู้รับประโยชน์ที่แท้จริงต่อหน่วยงานภายใต้กระทรวงการคลัง และประเทศมาเลเซีย ให้สิทธิหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเข้าถึงข้อมูลผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง จำกัดสัดส่วนการถือหุ้นในธุรกิจโรงแรมตามจำนวนดาว ตลอดจนกำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำในธุรกิจร้านอาหาร สำหรับมาตรการสนับสนุนธุรกิจของผู้ประกอบการไทย มีทั้งการอบรมให้ความรู้ในด้านต่าง ๆรวมถึงการมีสนับสนุนด้านเงินทุนแก่ธุรกิจ แต่ร้อยละ 43.8 ของผู้ประกอบการที่พักแรม และร้อยละ 46.2ของผู้ประกอบการด้านอาหาร รับรู้มาตรการของรัฐน้อยมากถึงไม่รู้เลยโดยร้อยละ 85.7 ระบุว่าการสื่อสาร/ประชาสัมพันธ์ยังไม่ทั่วถึง ทำให้ไม่ทราบ/เข้าถึงข้อมูล ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการร้อยละ 84.8 มองว่ามาตรการในปัจจุบันยังไม่เพียงพอ และร้อยละ 86.7 ระบุว่ายังไม่ตรงกับความต้องการ
กลไกการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติในต่างประเทศ
ที่มา : โครงการสำรวจผลกระทบจากการเข้ามาลงทุนของกลุ่มทุนต่างชาติต่อวิสาหกิจขนาดย่อมและรายย่อยของไทย โดย สศช. และ SAB
เพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถแข่งขันกับธุรกิจของต่างชาติได้อย่างเป็นธรรม รวมถึงได้ประโยชน์จากการเข้ามาลงทุนของกลุ่มทุนต่างชาติอย่างเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย อาจต้องดำเนินการ 2 ด้าน ดังนี้ 1. การกำกับดูแลการลงทุนและการดำเนินธุรกิจของชาวต่างชาติ โดยด้านการเข้ามาลงทุน อาจพิจารณาให้การจดทะเบียนนิติบุคคลของต่างชาติต้องดำเนินการผ่านบริษัทรับจดทะเบียน รวมถึงให้ธุรกิจทุกประเภทต้องรายงานผู้รับประโยชน์ที่แท้จริง ตลอดจนต้องมีการตรวจสอบรายชื่อกรรมการหรือผู้ถือหุ้นและทำเลที่ตั้งที่ใช้ในการจดทะเบียนอย่างเข้มงวด และมีการจำกัดสัดส่วนการลงทุนหรือการถือหุ้นโดยแบ่งตามขนาดกิจการ สำหรับด้านการดำเนินธุรกิจ ต้องมีการตรวจสอบที่เข้มงวด ต่อเนื่อง และครอบคลุมธุรกิจทุกขนาด รวมถึงอาจพิจารณาให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลผู้รับประโยชน์ที่แท้จริงแก่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย และพัฒนาช่องทางการรับแจ้งเบาะแส และ 2. การสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ประกอบด้วย 1) การสนับสนุนด้านเงินทุนเพื่อเริ่มต้น ปรับปรุง และต่อยอดธุรกิจ โดยอาจต้องผ่อนปรนเงื่อนไขบางประการ รวมถึงพัฒนาแหล่งเงินทุนใหม่ ๆ 2) การพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ด้านการตลาดและการบริหารการเงิน จัดทำหลักสูตรหรือจัดตั้งศูนย์ดูแลธุรกิจตลอดวงจร อบรมให้ความรู้และคำปรึกษาเกี่ยวกับการบริหารการเงิน การบัญชี และภาษี 3) การส่งเสริมการรวมกลุ่มของสมาคมผู้ประกอบการและจับคู่ธุรกิจ ตลอดวงจรการท่องเที่ยว และ 4) การประชาสัมพันธ์มาตรการของภาครัฐ โดยยกระดับการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าใจประโยชน์และเงื่อนไขของโครงการ/มาตการ ตลอดจนสามารถติดตามวิธีการหรือขั้นตอนการสมัครได้อย่างสะดวก