Publish Date: 11/09/2023
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในช่วง ปี 2563 – 2565 ส่งผลให้ประชากรจำนวนหนึ่งเคลื่อนย้ายจากแหล่งงานไปยังพื้นที่อื่น เนื่องจากการปิดโรงงานและสถานประกอบการ จากข้อมูลการสำรวจการย้ายถิ่นของประชากรของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระหว่างปี 2562 - 2565 พบว่า ในช่วง COVID-19 เกิดการเคลื่อนย้ายของประชากรมากขึ้น โดยในช่วงปี 2563 - 2564 มีลักษณะการย้ายออกจากพื้นที่/จังหวัดขนาดใหญ่ที่เป็นตลาดงาน สำหรับภูมิภาคที่มีการย้ายเข้าจะเป็นพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ขณะที่ในปี 2565 ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว จึงเริ่มเห็นการเคลื่อนย้ายไปยังเมืองใหญ่มากขึ้น
สำหรับการย้ายถิ่นในช่วง COVID-19 ซึ่งกำหนดให้เป็นผู้ที่เคลื่อนย้ายมาอาศัยในพื้นที่ปัจจุบันมากกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี ในปี 2565 พบว่า คนกลุ่มนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 2.1 ล้านคน โดยครึ่งหนึ่งของประชากรต้องการจะอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ตลอดไป หรือเป็นประชากรย้ายถิ่นถาวร ที่มีประมาณ 1.1 ล้านคน ขณะที่อีก 1.0 ล้านคน เป็นประชากรย้ายถิ่นชั่วคราว ซึ่งต้องการย้ายไปที่อื่นในระยะเวลาอันสั้น (น้อยกว่า 2 ปี) เพียง 1.9 แสนคน เท่านั้น นอกจากนี้หากพิจารณาสถานะการทำงานของประชากรย้ายถิ่นในช่วง COVID-19 พบว่า 1.4 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 65.2 เป็นกำลังแรงงาน ในจำนวนนี้มีงานทำแล้วกว่า 1.3 ล้านคน โดยร้อยละ 58.1 อยู่ในภาคบริการ ซึ่งเกือบ 1 ใน 4 ไม่มีหลักประกันทางสังคม และส่วนใหญ่เป็นแรงงานอายุน้อยและมีทักษะสูง
จากสถานการณ์ข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า 1) การคาดหวังว่าจะให้แรงงานเคลื่อนย้ายช่วง COVID-19 กลับมาชดเชยการขาดแคลนแรงงานในปัจจุบันคงทำได้ยาก มีประชากรเพียง 1.9 แสนคน ที่ต้องการย้ายถิ่นภายใน 2 ปีข้างหน้า ซึ่งในจำนวนนี้เป็นกำลังแรงงานเพียง 8.4 หมื่นคน 2) แรงงานที่กลับภูมิลำเนาจะมีส่วนสำคัญในการช่วยพัฒนาท้องถิ่น โดยกำลังแรงงานย้ายถิ่นมีระดับการศึกษา/ทักษะที่ค่อนข้างสูง ร้อยละ 39.1 เป็นผู้จบการศึกษาระดับปวช. ขึ้นไป 3) แรงงานที่เคลื่อนย้ายในช่วง COVID-19 ส่วนใหญ่ไม่มีสวัสดิการรองรับ ซึ่งไม่เพียงจะกระทบต่อแรงงาน แต่ยังกระทบต่อครอบครัวของแรงงานที่จะขาดหลักประกันอีกด้วย และ 4) การคืนถิ่นยังช่วยสร้างผลกระทบที่ดีเชิงสังคม อาทิ การช่วยให้เด็กอาศัยอยู่กับพ่อแม่มากขึ้น รวมทั้งผู้สูงอายุที่อาศัยในต่างจังหวัดมีผู้ดูแล แก้ปัญหาครอบครัวแหว่งกลาง และทำให้ครอบครัวมีความเข้มแข็งมากขึ้น
ดังนั้น แนวทางที่ต้องให้ความสำคัญต่อไป คือ 1) การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยภาคเอกชนต้องมีมาตรการจูงใจให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงาน ภาครัฐอาจใช้โอกาสในช่วงการขาดแคลนแรงงาน ให้สถานประกอบการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีเพื่อทดแทนแรงงานที่หายไป ขณะเดียวกัน บางอาชีพซึ่งเป็นอาชีพที่คนไทยไม่ทำ หรืองานที่ใช้ทักษะต่ำอาจจำเป็นต้องพิจารณานำเข้าแรงงานต่างด้าวเพิ่มเติมหากปัญหาการขาดแคลนแรงงานทักษะต่ำมีความรุนแรงขึ้น 2) การดึงศักยภาพของแรงงานคืนถิ่น โดยสนับสนุนการลงทุนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการสร้างงานในพื้นที่มากขึ้น 3) การส่งเสริมให้แรงงานทุกคนได้รับความคุ้มครองทางสังคม เกือบ 1 ใน 4 ยังเป็นกลุ่มที่ประกอบอาชีพอิสระ ที่ภาครัฐยังต้องเร่งส่งเสริมประชาสัมพันธ์ให้แรงงานอิสระกลุ่มดังกล่าวที่เคยเป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคมได้คงสภาพสมาชิกต่อไป และส่งเสริมการเข้าเป็นสมาชิกในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ ม.39 ม.40 กอช. และ 4) การขยายบทบาทการสร้างความเข้มแข็งในท้องถิ่น ประชากรย้ายกลับไปท้องถิ่นเป็นโอกาสที่จะช่วยเพิ่มความเข้มแข็งของชุมชนให้ดีขึ้น โดยต้องดึงศักยภาพของคนกลุ่มนี้ให้มีบทบาทในการช่วยเหลือชุมชน ด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดการร่วมกันในการพัฒนาพื้นที่ชุมชนของตนเอง