Publish Date: 25/11/2024
รถโดยสารสาธารณะเป็นหนึ่งในรูปแบบของขนส่งมวลชนพื้นฐานสำคัญในการเดินทางของประชาชน โดยในปี 2566 มีอุบัติเหตุจากรถโดยสารสาธารณะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 46.5 จากปี 2565 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บรวมกันเพิ่มขึ้นร้อยละ 105.2 หรือกล่าวได้ว่าสถานการณ์เริ่มมีความรุนแรง โดยพบประเด็นน่ากังวลที่ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุกับรถโดยสารสาธารณะไทย อาทิ
ที่มา : กรมขนส่งทางบก
การมีพฤติกรรมขับขี่ที่ไม่ดีเป็นสาเหตุหลักในการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ข้อมูลจากสำนักสวัสดิภาพการขนส่งทางบก ปี 2566 พบว่า อุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะเกิดขึ้นจากความบกพร่องของผู้ขับขี่มากที่สุด อยู่ที่ร้อยละ 81.1 นอกจากนี้ สภาพการทำงานที่ไม่ดีบนรถโดยสาร ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อพฤติกรรมและสมรรถนะการขับขี่ เนื่องจากต้องปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่จำกัดเป็นเวลานานตามสภาพการจราจร ทำให้ผู้ปฏิบัติงานบนรถโดยสารประสบปัญหาทางอารมณ์ และการละเลยต่อความปลอดภัยที่เกี่ยวกับการปรับปรุงสภาพรถโดยสาร สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเด็น ได้แก่ 1) รถสาธารณะส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานมากและมีสภาพทรุดโทรม ยกตัวอย่างสถานการณ์รถโดยสารสาธารณะประจำทางของ ขสมก. ที่ในปี 2567 กว่าร้อยละ 52.6 ของจำนวนรถโดยสาร ขสมก. ยังเป็นรถธรรมดา (สีครีม – แดง) อายุการใช้งานนานถึง 33 ปี และ 2) การดัดแปลงสาระสำคัญของรถที่ไม่ได้มาตรฐาน ยกตัวอย่างกรณีการติดตั้งก๊าซ CNG ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาทิ จำนวนถังก๊าซเกินจากรายการที่จดทะเบียนไว้ ถังก๊าซหมดอายุ ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดเหตุเพลิงไหม้หรือระเบิดรุนแรง
สำหรับการจัดการเกี่ยวกับรถสาธารณะในต่างประเทศ พบว่า มีการบริหารจัดการระบบรถสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ประเทศญี่ปุ่น มีการตรวจสอบพนักงานก่อนขับรถทุกครั้งและมีการฝึกอบรมขับขี่เชิงรุกเมื่อเกิดเหตุ รวมทั้งมีโปรแกรมฝึกอบรมทัศนคติการขับขี่และการปรึกษาเชิงจิตวิทยา ประเทศสิงคโปร์ ภาครัฐได้เปลี่ยนรถโดยสารประจำทางที่อายุการใช้งานนาน พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนกฎหมายการขนส่งและบทลงโทษเข้มงวด ประเทศกลุ่มภูมิภาคยุโรป ไม่อนุญาตให้ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อนในรถโดยสารขนาดใหญ่ ทั้งนี้ จากปัญหาของรถสาธารณะไทยและการจัดการในต่างประเทศ นำมาสู่แนวทางสำหรับประเทศไทยได้ ดังนี้ 1) การพัฒนาคุณภาพของพนักงานขับรถ จัดให้มีการฝึกอบรม การประเมินคุณภาพ และการตรวจสุขภาพร่างกายจิตใจประจำปี 2) การสนับสนุนจากภาครัฐในการปรับปรุงสภาพรถโดยสาร ภาครัฐควรพิจารณาจัดสรรงบประมาณสนับสนุนกิจการขนส่งที่ต้องการเปลี่ยนรถโดยสารหรือการติดตั้งระบบพลังงานไฟฟ้า อีกทั้ง การพัฒนาระบบตรวจสอบสภาพรถให้ทันสมัย และ 3) ความเข้มงวดต่อการบังคับใช้กฎหมายมาตรฐานความปลอดภัยรถโดยสาร และการทบทวนกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากอาจมีการใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย อาทิ การดัดแปลงสภาพรถและเครื่องยนต์โดยใช้อาศัยคำว่า “ดุลยพินิจ” ของนายทะเบียน