Publish Date: 12/09/2023
หนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ในปี 2564 พบว่า คนไทยมีหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 94.7 ซึ่งเป็นผลกระทบมาจาก COVID-19 แสดงให้เห็นถึงปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนจึงจำเป็นที่จะต้องเข้าพฤติกรรมการก่อหนี้ เพื่อให้สามารถออกแบบมาตรการแก้ไขได้อย่างเหมาะสม ซึ่งข้อมูลบริษัท เครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB: National Credit Bureau) มีรายละเอียดของลูกหนี้ และการรายงานมูลค่าหนี้จัดชั้นกล่าวถึงพิเศษ (SML) และหนี้เสีย (NPL) ความครอบคลุมทั้งธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินอื่น ๆ โดยหนี้สินครัวเรือนจากข้อมูลเครดิตบูโรในไตรมาสหนึ่ง ปี 2566 มีมูลค่าหนี้สินครัวเรือนอยู่ที่ 12.9 ล้านล้านบาท และมีบัญชีสินเชื่อในระบบประมาณ 83.1 ล้านบัญชี มีมูลค่าหนี้เสียประมาณ 9.8 แสนล้านบาท
พฤติกรรมการก่อหนี้และการชำระหนี้ตามกลุ่มอายุ
กลุ่มวัยทำงานอายุต่ำกว่า 50 ปี มีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง COVID-19 โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งมีการกู้เพิ่มขึ้นมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการ และการผ่อนคลายมาตรการ LTV ของ ธปท. ที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ขณะที่พฤติกรรมการชำระหนี้ พบว่า กลุ่มอายุน้อยกว่า 30 ปี มีปัญหาหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นหลังช่วง COVID-19 โดยมีมูลค่า NPL ในปี 2565 สูงกว่าปี 2562 ทั้งที่ภาครัฐจะมีมาตรการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความเปราะบางของลูกหนี้กลุ่มนี้ที่รายได้อาจยังไม่ฟื้นตัว นอกจากนี้ กลุ่มอายุน้อยกว่า 30 ปี ยังเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะถูกยึดรถ เนื่องจากมีสัดส่วน SML ต่อสินเชื่อรวมสูงที่สุดเมื่อเทียบกับอายุอื่น รวมทั้งกลุ่มอายุน้อยกว่า 40 ปี ยังมีหนี้เสียในสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องในระดับสูง
กลุ่มอายุมากกว่า 50 ปี พบว่า ช่วง COVID-19 มีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเป็นหนี้อื่น ๆ เช่น หนี้เพื่อประกอบธุรกิจการเกษตร หนี้เช่าซื้อมอเตอร์ไซด์ และหนี้ที่ไม่สามารถจัดอยู่ในกลุ่มอื่น ๆ โดยกลุ่มอายุ 50 – 59 ปี เป็นกลุ่มที่มีการก่อหนี้ประเภทนี้คิดเป็นมูลค่าสูงที่สุด นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาพฤติกรรมการชำระหนี้ยังพบว่า หลัง COVID-19 กลุ่มอายุ 50 - 59 ปี และกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป มีหนี้เสียเพิ่มขึ้นจากปี 2562
ภาพสะท้อนปัญหาหนี้สินครัวเรือนของข้อมูล NCB
1) ยังมีหนี้จำนวนมากที่ไม่เข้าสู่ระบบข้อมูล NCB ทำให้เจ้าหนี้ไม่สามารถตรวจสอบสถานะหนี้สินและรายได้สุทธิหลังหักภาระหนี้ของลูกหนี้ได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การกู้ยืมเกินศักยภาพในการชำระคืนของลูกหนี้
2) การแก้ไขปัญหาหนี้เสียต้องให้ความสำคัญกับหนี้เสียที่เกิดจากผู้ให้สินเชื่อที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์มากขึ้น โดยสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมของ NCB ในปี 2565 สูงถึงร้อยละ 7.6 แต่หากพิจารณาหนี้เสียที่เกิดจากเฉพาะธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) พบว่ามีสัดส่วนดังกล่าวเพียงร้อยละ 2.6 ซึ่งน้อยกว่าเกือบ 3 เท่า สะท้อนให้เห็นว่า ลูกหนี้ที่มีปัญหาเป็นลูกหนี้ที่เกิดจากผู้ให้สินเชื่ออื่น ๆ ที่ไม่ใช่ ธพ.
3) ลูกหนี้ที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือ แรงงานตอนต้น และผู้สูงอายุ โดยกลุ่มวัยแรงงานตอนต้นหรือกลุ่มเจนวายมีพฤติกรรมใช้จ่ายไปกับทัศนคติว่า “ของมันต้องมี” ขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุ พบว่า มีหนี้เสียมีการขยายตัวสูงกว่ากลุ่มอื่น ส่วนหนึ่งเกิดจากการมีทักษะทางการเงินต่ำ สะท้อนให้เห็นว่า คนแต่ละช่วงวัยและหนี้แต่ละประเภทต้องการแนวทางแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกัน และ
4) หนี้ครัวเรือนอื่น ๆ อาจต้องให้ความสำคัญมากขึ้น โดยปี 2565 หนี้อื่น ๆ มีสัดส่วนต่อมูลค่าหนี้ทั้งหมดกว่าร้อยละ 18.8 อีกทั้ง ยังมีสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมสูงเป็นอันดับสอง และมีลูกหนี้ที่เป็น NPL รวมเกือบ 2 ล้านราย