Publish Date: 09/06/2025
ประเทศไทยมีความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหวในระดับปานกลาง โดยมีโอกาสที่จะมีแผ่นดินไหว 6 - 8 ครั้งต่อปี ขณะที่แผ่นดินไหวที่ส่งผลต่อไทยส่วนใหญ่มีจุดศูนย์กลางนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ส่งผลให้อาคารสาธารณะ และอาคารของหน่วยงานรัฐ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก 48 อาคาร และเสียหายปานกลาง 304 อาคาร อีกทั้งยังทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก โดย SCB EIC ได้ประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจไว้ถึง 3 หมื่นล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าไทยยังมีข้อจำกัดในการรับมือ ซึ่งต่างประเทศมีแนวทางป้องกันและลดความสูญเสีย ดังนี้ 1) การมีแผนการรับมือกับแผ่นดินไหวที่ชัดเจน โดยประเทศญี่ปุ่นมีการกำหนดบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมีแผนในการเตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคต่าง ๆ ขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกามีการพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับแผ่นดินไหว เพื่อใช้ในการออกแบบมาตรฐานสิ่งปลูกสร้าง ยกระดับระบบเตือนภัยล่วงหน้า และพัฒนาแนวทางการรับมือ 2) การเฝ้าระวังการเกิดแผ่นดินไหวและการประเมินผลกระทบ โดยประเทศญี่ปุ่นและนิวซีแลนด์ได้ใช้ฐานข้อมูลแผ่นดินไหวระดับประเทศหรือทั่วโลกในการวิเคราะห์เพื่อคาดการณ์ความรุนแรงและความเสียหายจากแผ่นดินไหวที่อาจเกิดในอนาคต 3) มาตรฐานการก่อสร้างอาคารและการส่งเสริมการปรับปรุงอาคารเก่า โดยประเทศสหรัฐอเมริกามีมาตรฐานที่ควบคุมให้โครงสร้างอาคารต้องสามารถต้านทานแรงไหวสะเทือน ซึ่งจะปรับปรุงเป็นระยะ ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นมีการให้เงินอุดหนุนและสนับสนุนการให้สินเชื่อพิเศษเพื่อปรับปรุงอาคารร่วมด้วย 4) การสร้างความรู้แก่ประชาชนและซักซ้อมการรับมือกับแผ่นดินไหว โดยประเทศญี่ปุ่นได้บรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับภัยพิบัติและการรับมือไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอน การออกคู่มือประจำบ้านหรือจัดทำสื่อและคู่มือการรับมือภัยพิบัติ ตลอดจนจัดให้มีการซักซ้อมอย่างสม่ำเสมอเช่นเดียวกับประเทศอิหร่าน 5) การแจ้งเตือนภัย หลายประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่นและประเทศสหรัฐอเมริกา ใช้ระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวล่วงหน้า (EEW) เพื่อตรวจจับสัญญาณคลื่นปฐมภูมิ และแจ้งเตือนต่อสาธารณะเมื่อคาดว่าจะมีความรุนแรงถึงเกณฑ์ ผ่านระบบ Cell Broadcast โทรทัศน์ แอปพลิเคชัน วิทยุ ลำโพงชุมชน หรือระบบเตือนภัยของแต่ละรัฐ 6) การบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน ประเทศญี่ปุ่นจะมีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเฉพาะกิจทันที เพื่อทำหน้าที่ประสานงานและตัดสินใจเชิงนโยบายเร่งด่วน รวมถึงรายงานความคืบหน้าสถานการณ์ให้ประชาชนทราบ โดยการช่วยเหลือประชาชนมีตั้งแต่การกู้ภัย จัดหาศูนย์พักพิง รวมถึงฟื้นฟูสาธารณูปโภค นอกจากนี้ ในระดับท้องถิ่นยังมีการกำหนดจุดอพยพและเส้นทางการอพยพ รวมถึงเตรียมความพร้อมสถานที่สาธารณะเพื่อรองรับการอพยพ และ 7) การฟื้นฟูหลังการเกิดภัยพิบัติ โดยประเทศญี่ปุ่นจะมีการให้เงินสนับสนุนเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ซึ่งได้มีการจัดสรรงบประมาณฉุกเฉินไว้ในงบประมาณประจำปี
ที่มา : World Bank
ที่มา : Los Angeles Times
สำหรับประเทศไทยสามารถนำแนวทางข้างต้นมาเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับแผ่นดินไหวได้ ดังนี้ 1) การปรับปรุงอาคารให้สามารถต้านทานต่อการเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งอาจต้องสร้างความตระหนัก และส่งเสริม/จูงใจ ให้อาคารเก่ามีการปรับปรุงและให้อาคารที่อยู่นอกพื้นที่ควบคุมมีการก่อสร้างให้ทนทานต่อแผ่นดินไหว 2) การพัฒนาระบบเตือนภัยพิบัติล่วงหน้าที่สามารถช่วยให้ประชาชนเตรียมรับมือได้อย่างถูกต้อง โดยข้อความที่จะแจ้งเตือนประชาชนควรบอกระดับความรุนแรงและแนวทางการปฏิบัติตน 3) การวางแนวทางในการช่วยเหลือและฟื้นฟูหลังเกิดภัยพิบัติ ควรกำหนดบทบาทของหน่วยงานต่าง ๆ ให้ชัดเจน และอาจต้องพิจารณาตั้งงบประมาณประจำปีสำหรับการรับมือภัยพิบัติ และ 4) การสร้างองค์ความรู้ในการรับมือกับสถานการณ์แผ่นดินไหวแก่ประชาชน โดยอาจบรรจุเนื้อหาแผ่นดินไหวในการศึกษาภาคบังคับ จัดให้มีการซักซ้อมอย่างสม่ำเสมอ รณรงค์และเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชนเป็นระยะ ๆ และจัดทำคู่มือการรับมือภัยพิบัติ