Publish Date: 25/08/2025
อาหารแปรรูปขั้นสูง (Ultra-Processed Foods: UPF) เป็นอาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูปในอุตสาหกรรมหลายขั้นตอน รวมทั้งมีการใส่วัตถุเจือปนอาหารสังเคราะห์ต่าง ๆ ที่ไม่ใช่เครื่องปรุงพื้นฐานในครัวเรือน จนทำให้อาหารเดิมถูกเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจนยากต่อการระบุแหล่งที่มาของวัตถุดิบธรรมชาติ โดยกระบวนการเหล่านี้ส่งผลให้อาหารดังกล่าวมีไขมันอิ่มตัว น้ำตาล และโซเดียม ในปริมาณสูง อาทิ ซีเรียล ขนมปังสำเร็จรูป อาหารกึ่งสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มรสหวาน อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์หลายแหล่ง ชี้ให้เห็นว่า การบริโภคอาหารแปรรูปขั้นสูงเป็นประจำ มีผลเชื่อมโยงต่อความเสี่ยงด้านสุขภาพหลายประการ อาทิ โรคหัวใจและหลอดเลือด ภาวะน้ำหนักเกิน โรคเบาหวานดื้ออินซูลิน คอเลสเตอรอลดีต่ำ รวมถึงพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่เหมาะสม ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดโรค NCDs โดยสถานการณ์การบริโภค ข้อมูลจาก British Medical Journal ในปี 2567 ระบุว่า แคลอรี่ที่ประชากรในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรได้รับจากการบริโภค UPF มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 58 และ 57 ตามลำดับ รองลงมาเป็น ประชากรทวีปเอเชียและประเทศในทวีปอเมริกาใต้ ประมาณร้อยละ 20 – 30 สำหรับประเทศไทย แม้ไม่มีข้อมูลการบริโภค UPF เป็นทางการ แต่จากผลสำรวจสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า คนไทยจำนวนมากกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพมากถึง 3 – 7 วัน/สัปดาห์ โดยร้อยละ 42.1 รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง รองลงมาคือ อาหารเนื้อสัตว์แปรรูปร้อยละ 39.2 และเครื่องดื่มรสหวานร้อยละ 34.2 ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับอาหารที่เข้าข่าย UPF ขณะเดียวกัน พฤติกรรมบริโภคสินค้าในร้านสะดวกซื้อยังสะท้อนได้อีกว่า คนไทยบริโภคสินค้า UPF บ่อยครั้ง จากผลสำรวจในปี 2568 พบคนไทยร้อยละ 40.9 เข้าร้านสะดวกซื้อ 1–3 ครั้ง/สัปดาห์ และมีถึงร้อยละ 21.8 ที่เข้าใช้บริการทุกวัน โดยสินค้าที่นิยมบริโภคมากที่สุด คือ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มขนม/ขนมหวาน
ตัวอย่างการแปรรูปอาหารขั้นสูง
ที่มา : NOVA food classification System ประมวลผลโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
ทั้งนี้ หลายประเทศออกมาตรการควบคุมการผลิตและจำกัดการบริโภคอาหาร UPF เชิงรุก คือ 1) การบังคับใช้ฉลากคำเตือนแปดเหลี่ยมด้านหน้าบรรจุภัณฑ์อาหาร ลักษณะเด่นของฉลาก คือ ป้ายรูปแปดเหลี่ยมสีดำคล้ายป้ายหยุดพร้อมระบุข้อความตัวใหญ่ อาทิ แคลอรีสูง น้ำตาลสูง โซเดียมสูง และไขมันอิ่มตัวสูง ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจได้ทันทีว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีสารอาหารสูงเกินเกณฑ์ค่ามาตรฐานสุขภาพ ในทางกลับกันระบบฉลากโภชนาการ GDA ที่ใช้ในไทย พบว่า ร้อยละ 40.8 ของผู้บริโภคเห็นข้อมูลบนฉลาก GDA ด้านหน้าบรรจุภัณฑ์ แต่กลับไม่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ สะท้อนให้เห็นว่าการให้ข้อมูลเชิงตัวเลขไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดการตระหนักรู้ความเสี่ยงด้านสุขภาพได้ทันที 2) การควบคุมและกำหนดนโยบายทางการตลาด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเป้าไปยังเด็ก ได้แก่ (1) การห้ามใช้ตัวการ์ตูนหรือเทคนิคต่าง ๆ บนบรรจุภัณฑ์ ที่มีฉลากเตือนแปดเหลี่ยม 2 รายการขึ้นไป (2) การห้ามโฆษณาและกิจกรรมส่งเสริมการขายในร้านสะดวกซื้อ โดยสหราชอาณาจักร เตรียมบังคับใช้กฎหมายห้ามโฆษณาอาหารประเภท HFSS (High Fat, Sugar, Salt) อีกทั้ง มีมาตรการห้ามจัดโปรโมชันราคาและวางผลิตภัณฑ์ HFSS ใกล้จุดชำระเงิน เช่นเดียวกับชิลี ที่ห้ามโฆษณาอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพบนโทรทัศน์ในช่วงเวลาเช้าและหลังเลิกเรียน และห้ามจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์ที่เข้าข่าย UPF และ (3) การห้ามจำหน่ายภายในสถานศึกษา โดยในประเทศชิลี เม็กซิโก อาร์เจนตินา อุรุกวัย กำหนดนโยบายห้ามจำหน่ายหรือแจกอาหารที่มีฉลากเตือนแปดเหลี่ยมในโรงเรียนทุกระดับ ขณะที่ไทยมีเพียงการรณรงค์สร้างเสริมสุขภาพในสถานศึกษา แต่ยังไม่มีการควบคุมการทำการตลาดจูงใจให้เด็กบริโภคอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และ 3) มาตรการภาษีสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารที่ส่งผลต่อสุขภาพ ประเทศโคลอมเบีย มีการเก็บภาษีแบบขั้นบันไดในผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปขั้นสูง ที่มีน้ำตาล โซเดียม ไขมันอิ่มตัวสูง ครอบคลุมถึงการใส่สารสังเคราะห์ต่าง ๆ และกลุ่มเครื่องดื่มที่มีการเติมสารให้ความหวาน เพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเร่งปรับสูตรผลิตภัณฑ์ และยังกระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคที่ดีในระดับโครงสร้างประชากร เมื่อพิจารณาของไทย จะพบว่า มีการจัดเก็บภาษีความหวานเฉพาะเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ซึ่งยังไม่ครอบคลุมสารให้ความหวานแทนน้ำตาล และผลิตภัณฑ์อาหารอื่น ๆ
ตัวอย่างการติดฉลากคำเตือนแปดเหลี่ยมบนหน้าบรรจุภัณฑ์ UPF
ที่มา : Health Policy Watch: Independent Global Health Reporting และ Reddit
ตัวอย่างฉลากโภชนาการ GDA ของไทย
ที่มา : มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.)
การดำเนินงานข้างต้น ถือเป็นแนวทางที่ไทยสามารถนำมาศึกษาเพื่อยกระดับมาตรการหรือนโยบายทางด้านอาหาร โดยกำหนดนิยามของผลิตภัณฑ์อาหาร UPF ให้ชัดเจน และทำการรวบรวมและจำแนกอาหารที่มีอยู่ในปัจจุบันว่าชนิดใดเข้าข่าย UPF เพื่อใช้กำหนดแนวทางควบคุมการผลิตและจำกัดการบริโภค โดยเฉพาะกับกลุ่มเด็กและเยาวชนที่มักตกเป็นเป้าหมายการตลาด นอกจากนี้ ยังอาจพิจารณาความเหมาะสมของการเก็บภาษีกับกลุ่มอาหาร UPF ที่มักมีปริมาณน้ำตาล โซเดียม ไขมันสูง รวมถึงสารเติมแต่งสังเคราะห์ และยังไม่อยู่ในขอบข่ายภาษีที่เพียงพอในปัจจุบัน อีกทั้ง ยังต้องมีการสนับสนุนการเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อาทิ อาหารสด การปรุงอาหารในครัวเรือน ซึ่งมักใช้วัตถุดิบธรรมชาติและผ่านกระบวนการแปรรูปน้อย และยังเป็นการส่งเสริมสุขภาวะของประชากรที่ดีในระยะยาว