Publish Date: 25/08/2025
สหกรณ์ถือเป็นหนึ่งในกลไกทางการเงินที่มีบทบาทสำคัญ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมและให้บริการสินเชื่อที่มีต้นทุนต่ำแก่สมาชิก แต่ปัจจุบันสหกรณ์ได้กลายเป็นแหล่งกู้ยืมเงินขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกหลายล้านราย โดยในปี 2567 มีจำนวนสหกรณ์ทั่วประเทศรวม 6,092 แห่ง ครอบคลุมสมาชิกกว่า 11 ล้านราย ซึ่งสหกรณ์ออมทรัพย์เป็นสหกรณ์ประเภทที่มีมูลค่าการให้กู้ยืมมากที่สุดถึง 2.27 ล้านล้านบาท และยังมีแนวโน้มการให้กู้ยืมเพิ่มขึ้น อีกทั้งหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ยังมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 15 ของหนี้สินครัวเรือนทั้งหมดแม้ว่าจะเป็นลำดับรองจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ แต่กลับมีการดำเนินงานเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน คือ 1) การกู้ยืมเงินของสหกรณ์เข้าถึงได้ง่ายและกระบวนการตรวจสอบก่อนให้สินเชื่อน้อยทำให้ลูกหนี้ก่อหนี้เกินความจำเป็น โดยอาศัยเพียงข้อมูลภายใน อาทิ จำนวนทุนเรือนหุ้น และการให้สินเชื่อบางประเภทอาจไม่จำเป็นต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่ใช้เพียงผู้ค้ำประกัน 2) ข้อมูลลูกหนี้สหกรณ์ไม่มีการเชื่อมโยงกับสถาบันการเงินอื่น ทำให้สถาบันการเงินอื่นไม่สามารถตรวจสอบยอดหนี้ของลูกหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ได้ 3) สหกรณ์ส่วนใหญ่กำหนดเงินปันผลในอัตราสูง ซึ่งทำได้โดยขยายโครงการให้กู้ยืม และกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูง ซึ่งสร้างภาระให้แก่ลูกหนี้ 4) สหกรณ์ออมทรัพย์บางส่วนกำหนดเงินเดือนคงเหลือหลังหักชำระหนี้ต่อเดือนของสมาชิกในอัตราที่ต่ำมาก หรือเหลือน้อยกว่าร้อยละ 30 ของเงินเดือนที่ได้รับ ส่งผลให้ลูกหนี้ขาดสภาพคล่อง และอาจนำไปสู่การก่อหนี้จากแหล่งอื่นเพิ่ม จนกลายเป็นกับดักวงจรหนี้ระยะยาวที่แก้ไขได้ยาก และ 5) สหกรณ์ขาดแรงจูงใจในการดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของสหกรณ์ยังมีลักษณะเป็นการขอความร่วมมือ จากการที่สหกรณ์มีบุริมสิทธิ์การหักเงินเดือนก่อนเจ้าหนี้รายอื่น
ที่มา : สารสนเทศสหกรณ์ในประเทศไทย กรมส่งเสริมสหกรณ์
ปัญหาดังกล่าวทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามแก้ไขปัญหาหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ผ่านมาตรการต่าง ๆ อาทิ การออกประกาศแนวทางการแก้หนี้สำหรับสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ อาทิ กำหนดให้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไม่เกินร้อยละ 4.75 ต่อปี กำหนดเกณฑ์เงินคงเหลือไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของเงินเดือน และการออกคำแนะนำของนายทะเบียนสหกรณ์เรื่องหลักเกณฑ์การให้เงินกู้แก่สมาชิกอย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม รวมถึง การผลักดันให้สหกรณ์ออมทรัพย์เข้าเป็นสมาชิกกับเครดิตบูโร และอยู่ระหว่างออกมาตรการ Credit Lock ในการส่งข้อมูลสมาชิกสหกรณ์ที่เข้าร่วมโครงการแก้หนี้ไปยังเครดิตบูโร นอกจากนี้ ยังมีโครงการส่งเสริมความรู้ทางการเงินแก่สมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ครู ซึ่งเป็นลูกหนี้กลุ่มใหญ่ที่สุดและมีภาระหนี้สูง การแก้ไขพระราชบัญญัติสหกรณ์ในปี 2562 ให้มีการกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน และการออกกฎกระทรวงเพื่อมารองรับ พ.ร.บ. ฯ ข้างต้น อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาหนี้สหกรณ์ยังมีข้อจำกัดที่สำคัญหลายด้าน ได้แก่ 1) ด้านกฎหมาย กระบวนการออกกฎกระทรวงเพื่อกำกับดูแลการดำเนินงานของสหกรณ์ใช้เวลานาน ซึ่งตามมาตรา 89/2 ของ พ.ร.บ. สหกรณ์ฯ ให้มีการดำเนินการกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์ โดยออกเป็นกฎกระทรวง แต่ปัจจุบันยังขาดกฎกระทรวงในหลายประเด็นที่สำคัญ โดยเฉพาะการให้กู้ การค้ำประกัน การจัดเก็บข้อมูล ซึ่งล้วนเชื่อมโยงกับเพดานดอกเบี้ยเงินกู้ และการนำส่งข้อมูลเครดิตบูโร ที่เป็นเกณฑ์สำคัญของการแก้ไขปัญหาหนี้สหกรณ์ รวมถึง พ.ร.บ. สหกรณ์ฯ มาตรา 89/4 กำหนดบทบาทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไว้ เป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาการกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ซึ่งมีหน้าที่เพียงให้คำปรึกษา และเสนอแนะแนวทางแก่นายทะเบียนสหกรณ์เท่านั้น ขณะที่ พ.ร.บ. สหกรณ์ฯ ยังคงให้อำนาจสหกรณ์ในการหักเงินเดือนเพื่อชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น ทำให้สหกรณ์สามารถหักชำระหนี้ได้ไม่จำกัด และขาดแรงจูงใจในการช่วยเหลือสมาชิกแก้ไขปัญหาหนี้ 2) ด้านความสามารถในการกำกับดูแล โดยปัจจุบันกรมส่งเสริมสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักในการดูแลสหกรณ์ทุกประเภท อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานของสหกรณ์ออมทรัพย์มีลักษณะแตกต่างจากสหกรณ์ประเภทอื่น และมีความคล้ายคลึงกับธุรกิจสถาบันการเงิน ทั้งการรับฝากเงินและการให้กู้ยืมซึ่งต้องการการกำกับดูแลที่มีมาตรฐานเดียวกับสถาบันการเงิน เพื่อไม่ให้การดำเนินงานส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และเสถียรภาพทางการเงิน และ 3) ด้านการดำเนินงานของสหกรณ์ ซึ่งคณะกรรมการสหกรณ์แต่ละแห่งมีอำนาจในการตัดสินใจด้วยตนเอง ทำให้การช่วยเหลือแตกต่างกัน นอกจากนี้ สหกรณ์บางแห่งอยู่ในสถานะขาดเงินทุน ทำให้ต้องกู้ยืมสถาบันการเงิน หรือสหกรณ์อื่นเพื่อนำมาปล่อยกู้กับสมาชิก ซึ่งมีต้นทุนสูง รวมทั้ง สหกรณ์จำนวนมากมีระบบจัดเก็บข้อมูลที่ยังไม่พร้อม ความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวของสมาชิก และต้นทุนดำเนินการที่สูง
ดังนั้น เพื่อให้สหกรณ์ออมทรัพย์สามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืน และลดความเสี่ยงของหนี้สหกรณ์ที่จะส่งผลต่อเสถียรภาพการเงินโดยรวม จึงต้องเร่งรัดการออกกฎกระทรวงให้ครบถ้วน และการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพ โดยต้องมีระเบียบหรือแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน อาทิ เงื่อนไขในการให้สินเชื่อที่ต้องใช้ข้อมูลเครดิตบูโรประกอบการพิจารณาสินเชื่อ และต้องกำหนดแนวทางและหลักเกณฑ์การให้เงินกู้แก่สมาชิกอย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม รวมถึง อาจพิจารณาให้สหกรณ์ออมทรัพย์ได้รับการกำกับดูแลที่มีมาตรฐานเทียบเท่าสถาบันการเงิน เพื่อให้เกิดกลไก แนวทางในการป้องกันความเสี่ยง และความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น