Publish Date: 25/08/2025
Gen Z คือกลุ่มประชากรที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อตลาดแรงงานในอนาคต อย่างไรก็ตาม ด้วยทัศนคติและพฤติกรรมการทำงานของ Gen Z ที่มีความแตกต่างจากคนรุ่นก่อนหน้าค่อนข้างมาก อาจเป็นความท้าทายสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญ โดยในกรณีของไทย พบลักษณะที่สำคัญ ดังนี้ 1) Gen Z บางส่วนเลือกจะไม่เรียนต่อ เนื่องจากกังวลต่อระบบการศึกษา อาทิ คุณภาพการศึกษา ค่าใช้จ่ายในการเรียน ตลอดจนคิดว่าระบบการเรียนไม่มีความยืดหยุ่น 2) การเข้าสู่ตลาดแรงงานช้าลง โดยใน ปี 2557 สัดส่วน Gen Z ที่ว่างงานมากกว่า 1 ปี อยู่ที่ร้อยละ 1.2 และเพิ่มเป็นร้อยละ 13.6 ในปี 2567 สูงกว่าทุกช่วงอายุก่อนหน้า อีกทั้งยังมีอัตราการว่างงานในกลุ่มผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อนสูงสุดที่ร้อยละ 48.5 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการให้ความสำคัญกับการค้นหาตัวเองจากการทำ Gap Year 3) มีความเป็นผู้ประกอบการในตัวเองสูง โดยหันไปทำธุรกิจส่วนตัวเพิ่มขึ้น จากช่วงก่อน COVID-19 Gen Z เลือกทำงานเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัวโดยไม่มีลูกจ้างในสัดส่วนเฉลี่ยที่ประมาณร้อยละ 0.4 ต่อปี เป็นร้อยละ 1.8 ในช่วงปี 2563 ถึงปัจจุบัน 4) จริยธรรม คุณค่า และ Work-Life Balance เป็นปัจจัยหลักที่ Gen Z ให้ความสำคัญที่สุด โดยพร้อมที่จะเปลี่ยนงานหากพบว่าบริษัทไม่ตอบสนองความต้องการ 5) ความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยีช่วยในการทำงาน จากรายงาน Work Trend Index 2024 พบว่า Gen Z มีอัตราการนำใช้ AI มาใช้ในงานถึงร้อยละ 85 สูงกว่าช่วงอายุอื่นและค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ที่ร้อยละ 75 และ 6) Gen Z มีแนวโน้มที่จะขาด Soft Skills ที่จำเป็นต่อการทำงาน โดยเฉพาะทักษะด้านการสื่อสาร
ที่มา : Mccrindle
ที่มา : การสำรวจภาวะการทำงานของประชากร สำนักงานสถิติแห่งชาติ
จากลักษณะทัศนคติและพฤติกรรมของ Gen Z ข้างต้น นำมาซึ่งผลกระทบ คือ ผลกระทบด้านบวก ได้แก่ 1) โอกาสในการสะสมประสบการณ์ที่หลากหลาย อาทิ การเรียนรู้ในสิ่งที่ถนัดด้วยตนเองโดยไม่พึ่งพาการศึกษาในระบบ การมีเวลาทบทวนตนเองอย่างจริงจังจากการหยุดพัก 2) แม้เด็กจบใหม่จะมีข้อจำกัดด้านประสบการณ์ในการทำงาน แต่ความถนัดด้านทักษะ AI ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน ก็อาจจะช่วยเพิ่มโอกาสในการหางานได้ โดยเฉพาะผู้สมัครที่มีใบรับรอง GenAI และ 3) ความหลากหลายทางเศรษฐกิจดิจิทัลจะเพิ่มโอกาสการจ้างงานในรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะในรูปแบบ gig economy ทำให้เกิดนวัตกรรมธุรกิจใหม่ อาทิ Creator Economy และ Social Gaming ผลกระทบด้านลบ ได้แก่ 1) ผู้ประกอบการมีความกังวลใจในการรับเด็กจบใหม่เข้าทำงานเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะทัศนคติและพฤติกรรมบางประการที่อาจไม่คุ้มต่อการจ้างงาน อาทิ การลาออกหรือเปลี่ยนงานบ่อย การเข้าสู่ตลาดแรงงานช้าที่ทำให้มีประสบการณ์ในการงานน้อย 2) ความเสี่ยงที่เด็ก Gen Z จะว่างงานเพิ่มขึ้น โดยในปี 2567 มีอัตราการว่างงาน อยู่ที่ร้อยละ 3.8 สูงกว่าทุกช่วงอายุ ขณะที่เมื่อพิจารณาตามระดับการศึกษา ยังพบว่า กลุ่มอุดมศึกษาเป็นกลุ่มที่มีอัตราการว่างงานสูงที่สุดที่ร้อยละ 2.0 ทั้งที่อัตราการว่างงานในภาพรวมประเทศอยู่ที่เพียงร้อยละ 1.0 และ 3) การมีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีไม่ได้หมายความว่าจะสามารถใช้เทคโนโลยีในงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการพึ่งพา AI มากเกินไปที่อาจทำให้ระบบการเรียนรู้ของผู้ใช้ถดถอย ตลอดจนขาดทักษะการใช้งาน AI เชิงลึก และขาดการคิดเชิงวิพากษ์ต่อผลลัพธ์จาก AI ที่เหมาะสม
ที่มา : การสำรวจภาวะการทำงานของประชากร สำนักงานสถิติแห่งชาติ
ที่มา : การสำรวจภาวะการทำงานของประชากร สำนักงานสถิติแห่งชาติ
จากข้อมูลข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสและความท้าทายที่ผู้ประกอบการและเด็กจบใหม่ รวมไปถึงภาครัฐจะต้องมีการปรับตัว ดังนี้ 1) ผู้ประกอบการ จำเป็นต้องปรับแนวทางการทำงานและสนับสนุนสวัสดิการให้สอดคล้องกับความต้องการของพนักงานรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น อาทิ การส่งเสริมและพัฒนาทักษะ การทำงานแบบ Hybrid Work และการลงทุนในนวัตกรรมเทคโนโลยี สำหรับแรงงาน โดยเฉพาะ Gen Z ต้องทำความเข้าใจ และปรับตัวให้เข้ากับโลกการทำงานจริง ทั้งในส่วน Hard Skills และ Soft Skills ขณะที่ภาครัฐ ต้องเริ่มตั้งแต่การปรับโครงสร้างการผลิตกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของสถานประกอบการ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้แรงงานสามารถวางแผนและพัฒนาทักษะ ตลอดจนการสนับสนุนให้แรงงานทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงการฝึกอบรมผ่านช่องทางที่หลากหลาย