Publish Date: 27/05/2024
ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ระหว่างการเร่งผลักดันนโยบายส่งเสริมการมีลูกโดยมีเป้าหมายไปที่คนมีคู่เพื่อแก้ปัญหาเด็กเกิดน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาสถานภาพของคนในสังคม จากข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2566 กลับพบว่า คนไทยครองตัวเป็นโสดมากขึ้น โดย 1 ใน 5 ของคนไทยเป็นคนโสด คิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 23.9 ทั้งนี้ หากพิจารณาเฉพาะช่วงวัยเจริญพันธุ์ พบว่า คนโสดมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 40.5 สูงกว่าภาพรวมประเทศเกือบเท่าตัว และเพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 35.7
เมื่อพิจารณาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นคนโสดจากการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องแบ่งได้เป็น 4 ด้าน คือ 1) ค่านิยมทางสังคมของการเป็นโสดยุคใหม่ อาทิ “SINK (Single Income, No Kids)” หรือคนโสดที่มีรายได้และไม่มีลูก” เน้นใช้จ่ายเพื่อตนเอง จากข้อมูล SES ในปี 2566 พบว่า สัดส่วนคนโสด SINK สูงขึ้นตามระดับรายได้ โดยประเภทค่าใช้จ่ายด้านตัวเงินส่วนใหญ่ คือ ค่าอาหาร การเดินทาง/การติดต่อสื่อสาร เป็นต้น “PANK (Professional Aunt, No Kids)” หรือกลุ่มผู้หญิงโสดอายุ 30 ปีขึ้นไป ที่มีรายได้/อาชีพการงานดีและไม่มีลูก” ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลหลาน/เด็กในครอบครัวรอบตัว โดยคนโสด PANK มีจำนวน 2.8 ล้านคน และส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้ดีและจบการศึกษาสูง และ “Waithood” กลุ่มคนโสดที่เลือกจะรอคอยความรัก เนื่องจากความไม่พร้อม/ไม่มั่นคงในสถานะทางเศรษฐกิจ ส่วนหนึ่งสะท้อนได้จากคนโสดร้อยละ 40 ที่มีรายได้ต่ำสุด โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 37.7 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพศชายมากถึงร้อยละ 62.6 ทั้งยังมีระดับการศึกษาที่ไม่สูงนัก ส่งผลให้ความสามารถในการหารายได้จำกัด 2) ปัญหาความต้องการ/ความคาดหวังที่ไม่สอดคล้องกัน ความคาดหวังทางสังคมและทัศนคติต่อการมองหาคู่ของคนที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้คนโสดบางส่วนเจอคู่ในแบบที่ต้องการได้ยาก จากการสำรวจความต้องการของคนโสดของบริษัทมีทแอนด์ลันช์ สาขาประเทศไทย (2021) พบว่า ผู้หญิงกว่าร้อยละ 76.0 จะไม่เดทกับผู้ชายที่มีรายได้น้อยกว่า และร้อยละ 83.0 ไม่คบกับผู้ชายที่มีส่วนสูงน้อยกว่า ขณะเดียวกัน ผู้ชายร้อยละ 59.0 จะไม่คบกับผู้หญิงตัวสูงกว่า และอีกว่าร้อยละ 60.0 ไม่เดทกับผู้หญิงที่เคยหย่าร้าง 3) โอกาสในการพบปะผู้คน โดยในปี 2566 คนโสดมีชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยอยู่ที่ 43.2 ชั่วโมง/สัปดาห์ สูงกว่าชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยรวมของทั้งประเทศ นอกจากนี้ จากผลการจัดอันดับ Best and Worst Cities for Work-Life Balance ปี 2565 ที่พบว่า กรุงเทพฯ อยู่ในอันดับที่ 5 ของเมืองที่แรงงานทำงานหนักที่สุดในโลก ซึ่งสภาพการณ์ดังกล่าวทำให้คนโสดไม่มีโอกาสในการมองหาคู่อย่างจริงจัง จึงเลือกที่จะเป็นโสดและให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นแทน และ 4) นโยบายส่งเสริมการมีคู่ของภาครัฐยังไม่ต่อเนื่องและครอบคลุมความต้องการของคนโสด โดยนโยบายส่งเสริมการมีคู่ของไทยในช่วงที่ผ่านมายังมีไม่มากนัก โดยเน้นไปที่กลุ่มคนโสดที่มีความพร้อม ขณะที่ ในต่างประเทศมีแนวทางการส่งเสริมการมีคู่ที่ครอบคลุมไปถึงการบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย และการสร้างโอกาสในการมีคู่ อาทิ สิงคโปร์ ในปี 2561 มีการจัดทำโครงการลดคนโสด โดยสนับสนุนเงินอย่างน้อย 2,500 บาท เพื่อให้ประชาชนนำไปใช้ในกิจกรรมออกเดท/บริการหาคู่ ญี่ปุ่น ในปี 2567 ที่มีการจัดทำแอปพลิเคชันหาคู่ โดยใช้ระบบ AI ในการวิเคราะห์ความต้องการและยืนยันตัวตนเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน
ที่มา : การสำรวจภาวะการทำงานของประชากร สำนักงานสถิติแห่งชาติ
ทั้งนี้ หากไทยต้องการบรรลุเป้าหมายให้คนมีลูกอาจต้องเริ่มจากการสนับสนุนให้คนมีคู่ ดังนี้ 1) การสนับสนุนเครื่องมือการ Matching คนโสด โดยภาครัฐอาจร่วมมือกับผู้ให้บริการ/พัฒนาแพลตฟอร์ม เพื่อส่งเสริมให้คนโสดสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น 2) การส่งเสริมการมี Work-life balance ทั้งในภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะช่วยให้คนโสดมีคุณภาพชีวิตที่ขึ้น อีกทั้ง ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้คนโสดได้มีเวลาทำกิจกรรมที่ชอบและพบเจอคนที่น่าสนใจมากขึ้น 3) การยกระดับทักษะที่จำเป็นในการทำงาน เพิ่มโอกาสความก้าวหน้าในอาชีพการงานและรายได้ อาทิ คอร์สเรียนเพิ่มทักษะ Soft & Hard Skills นอกจากนี้ คนโสดยังมีโอกาสพบรักจากสถานศึกษาได้อีกด้วย และ 4) การส่งเสริมกิจกรรมและการมีส่วนร่วมทางสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมให้คนโสดได้มีโอกาสพบปะ พูดคุย และสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย