Publish Date: 12/09/2023
การใช้รถยนต์ไฟฟ้า ( Electric Vehicle: EV) เป็นกระแสที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในปี 2565 ยอดขายรถยนต์ EV ทั่วโลกมีกว่า 10 ล้านคัน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14 ของยอดขายรถยนต์ใหม่ทั้งหมด ทำให้ภาพรวมทั่วโลกมีการใช้รถยนต์ EV เกือบ 30 ล้านคัน และคาดการณ์ว่าทั่วโลกจะมีรถยนต์ EV เพิ่มขึ้นเป็น 240 ล้านคันในปี 2573 สำหรับประเทศไทย ช่วงเดือนมกราคม - พฤษภาคม 2566 พบว่า มีการจดทะเบียนรถยนต์ EV รวมกว่า 32,450 คัน คิดเป็นร้อยละ 10 ของรถยนต์ที่จดทะเบียนทั้งหมด และคาดการณ์ว่าสัดส่วนรถยนต์ EV ในตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ของไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 34 ภายในปี 2573 แม้การเพิ่มขึ้นของรถยนต์ EV จะส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยลดมลพิษ แต่รถยนต์ EV ที่เพิ่มขึ้นยังหมายถึง รถยนต์สันดาปจะถูกแทนที่และเลิกใช้งานเป็นจำนวนมากขึ้นด้วย ในปี 2565 ไทยมีรถยนต์ที่เลิกใช้งานจำนวนกว่า 2.7 แสนคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2556 กว่า 1 เท่าตัว ขณะเดียวกันรถยนต์ที่มีอายุมากกว่า 20 ปี มีจำนวนกว่า 5 ล้านคัน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 16 ล้านคัน ในอีก 20 ปีข้างหน้า
การมีซากรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น จำเป็นต้องมีระบบการจัดการที่เหมาะสม เนื่องจากส่วนประกอบของรถยนต์มีทั้งที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์และก่อให้เกิดโทษ โดยร้อยละ 75 ของส่วนประกอบรถยนต์สามารถนำเข้าสู่กระบวนการผลิตใหม่ (remanufacturing) ได้ อาทิ เครื่องยนต์ อะไหล่ต่าง ๆ และสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ (recycling) ได้ อาทิ เหล็ก พลาสติก แก้ว ขณะที่มีส่วนประกอบอีกร้อยละ 25 ไม่สามารถนำมาใช้ใหม่ได้ และเป็นอันตราย อาทิ สารทำความเย็น น้ำมันหล่อลื่น แบตเตอรี่ ซึ่งต้องการการกำจัดอย่างเหมาะสม ซึ่งการจัดการซากรถยนต์ส่วนใหญ่ของไทยเป็นการจัดการที่ยังไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะการจัดการของเสีย ซึ่งเกิดขึ้นมาจากกระบวนการถอดรื้อชิ้นส่วนและการจัดการของเสียอันตราย การแยกส่วนประกอบ และกระบวนการรีไซเคิลที่ไม่ถูกวิธีของโรงงานนอกระบบ สาเหตุที่การจัดการซากรถยนต์ของไทยยังขาดมาตรฐาน ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดข้อกฎหมายในการควบคุมการจัดการซากรถยนต์ ขณะที่ในต่างประเทศมีการให้ความสำคัญกับการจัดการซากรถยนต์อย่างชัดเจน โดยมีการออกกฎหมาย/ข้อบังคับ เพื่อควบคุมให้การจัดการซากรถยนต์เป็นไปอย่างเหมาะสม ดังนั้น ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีกฎหมายจัดการซากรถยนต์บนหลักการของการจัดการสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องระบุผู้รับผิดชอบในการจัดการซากรถยนต์ การเก็บรวบรวมรถยนต์ที่เลิกใช้งานแล้ว และการบำบัดของเสียอันตรายที่เกิดจากซากรถยนต์ ตลอดจน การให้มีบทลงโทษในกรณีการจัดการที่สร้างผลกระทบรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ มีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญควบคู่กับการออกกฎหมาย คือ 1) การส่งเสริมให้มีสถานประกอบการจัดการซากรถยนต์แบบครบวงจรและได้มาตรฐาน 2) ต้นทุนการซื้อรถยนต์ที่อาจจะเพิ่มขึ้นจากการที่ผู้ผลิตผลักภาระค่าใช้จ่ายในการจัดการซากรถยนต์ให้กับผู้บริโภค และ 3) การบูรณาการการทำงานของหน่วยงานกำกับดูแล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลิตรถยนต์ การจดทะเบียนรถยนต์ รวมถึงการจัดการซากรถยนต์ และของเสียอันตรายที่เกิดจากรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งานแล้ว