Publish Date: 09/06/2025
การเข้ามาของชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (Alien Species) เป็นความเสี่ยงต่อความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลกโดยรายงานขององค์การสหประชาชาติ (UNEP) ในปี 2566 ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2513 หลายประเทศประสบปัญหาการรุกรานของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นมากกว่า 37,000 ชนิดพันธุ์ ซึ่งในจำนวนนี้ 3,500 ชนิด จัดอยู่ในกลุ่มรุกราน ส่งผลให้พืชและสัตว์ท้องถิ่นร้อยละ 60 ทั่วโลกสูญพันธุ์ และคาดว่าภายในปี 2593 ภูมิภาคทั่วโลกอาจมีจำนวนชนิดพันธุ์ต่างถิ่นเพิ่มขึ้นถึง 1 ใน 3 ทั้งนี้ จากรายงาน IPBES ในปี 2566 ระบุว่า ทั่วโลกสูญเสียต้นทุนทางเศรษฐกิจกว่า 423 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี โดยสัดส่วนร้อยละ 92 เป็นความเสียหายที่เกิดกับระบบนิเวศและคุณภาพชีวิตผู้คน และอีกร้อยละ 8 เป็นเพียงค่าใช้จ่ายในการจัดการและควบคุม สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจาก สผ. ระบุว่าในปี 2561 ไทยมีชนิดพันธุ์ต่างถิ่นทั้งพืชและสัตว์ที่ขึ้นทะเบียนรายการว่ารุกรานแล้วและมีแนวโน้มรุกรานรวมกัน 196 ชนิด ซึ่งในจำนวนนี้ 23 ชนิด ถูกจัดลำดับให้เป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีความสำคัญสูง ยกตัวอย่าง “ปลาหมอคางดำ” (ความสำคัญสูงลำดับ 1) ถูกนำเข้ามาและพบการแพร่ระบาด สร้างความเสียหายต่อเกษตรกรเลี้ยงสัตว์น้ำหรือชาวประมง โดยจากการประเมินของวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ พบมูลค่าความเสียหายในตำบลแพรกหนามแดง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เพียงตำบลเดียวสูงถึง 131.96 ล้านบาท/ปี ขณะที่ในภาพรวมของไทยจากการประเมินของ InvaCost ปี 2560 พบต้นทุนทางเศรษฐกิจมูลค่ารวมอยู่ที่ 5,175.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สาเหตุของการแพร่ระบาดมาจากการนำเข้าโดยเจตนาและไม่เจตนา เช่น การนำเข้าเพื่อวิจัยการเกษตร การติดมากับยานพาหนะขนส่ง การนำเข้ามาเป็นสัตว์เลี้ยง ซึ่งช่องทางการระบาดชี้ให้เห็นถึงการขาดการกำกับควบคุมดูแลที่เหมาะสม ในขณะที่ไทยยังไม่มีกฎหมายที่ว่าด้วยการป้องกัน ควบคุม หรือกำจัดโดยเฉพาะ ซึ่งพบช่องว่างการบังคับใช้ อาทิ 1) การขาดการประเมินความเสี่ยงต่อการรุกรานระบบนิเวศก่อนอนุญาตให้นำเข้ามีเพียงมาตรการการตรวจกักกันที่เน้นไปที่ป้องกันควบคุมโรคระบาด 2) การกำหนดสัตว์ชนิดอื่นในประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังไม่ครอบคลุมถึงสัตว์ต่างถิ่นรุกรานและมีแนวโน้มรุกรานชนิดอื่น ๆ และ 3) การขาดระบบการตรวจสอบการกำจัดสัตว์ต่างถิ่น เช่น การให้ผู้ครอบครองกำจัดด้วยตนเองที่ไม่ถูกหลักวิธี
ในขณะที่หลายประเทศมีการจัดการที่มีประสิทธิภาพ ดังนี้ 1) การออกกฎหมายควบคุมบังคับใช้โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น มีกฎหมาย The Invasive Alien Species Act ปี 2547 มีสาระสำคัญ ดังนี้ 1) มาตรการป้องกันการนำเข้า อาทิ การนำเข้าชนิดพันธุ์ต่างถิ่นกลุ่มที่ยังไม่ถูกจำแนก (UAS) ต้องแจ้งรายละเอียดล่วงหน้าแก่หน่วยงาน โดยห้ามนำเข้าจนกว่าจะได้รับแจ้งว่า “ไม่มีความเสี่ยง” ต่อระบบนิเวศ 2) มาตรการควบคุมและกำจัด อาทิ การรายงานเกี่ยวกับสภาพการจัดการ IAS โดยเจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจตรวจสอบได้ตลอดเวลาภายใต้ขอบเขตที่จำเป็น และ 3) มาตรการลงโทษที่เข้มงวด กรณีหากเกิดผลกระทบรัฐสามารถเรียกให้บุคคล/นิติบุคคล รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดหรือบางส่วนที่จำเป็นในการดำเนินงานจัดการ พร้อมทั้งรับโทษทางอาญา อาทิ นิติบุคคลมีโทษปรับสูงสุดถึง 50 ล้านเยน 2) การจัดทำฐานข้อมูลสายพันธุ์รุกราน เพื่อประโยชน์ในการจัดการ แคนาดา มีการจัดทำเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเก็บข้อมูลจากการถ่ายภาพ ระบุตำแหน่ง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในการสนับสนุนการวางแผนเชิงนโยบาย มาตรการ และควบคุมระดับประเทศ 3) การส่งเสริมให้มีการศึกษาและพัฒนานวัตกรรมการป้องกัน สหรัฐอเมริกา มีการศึกษาและสร้าง “กำแพงไฟฟ้า” ใต้น้ำทำให้ปลาหลีกเลี่ยงว่ายผ่านบริเวณดังกล่าว ซึ่งสามารถชะลอการแพร่ระบาดของปลาคาร์พเอเชียได้มากถึงร้อยละ 85 – 95 และ 4) การมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อการอนุรักษ์ นิวซีแลนด์ ดำเนินโครงการกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกรานและฟื้นฟูระบบนิเวศบนพื้นที่เกาะหลายแห่ง เช่น โครงการฟื้นฟูประชากรนกแก้วพื้นเมืองคาคาโปที่ใกล้สูญพันธุ์ เหลือเพียง 51 ตัว ในปี 2538 ให้เพิ่มขึ้นได้มากถึง 252 ตัว ในปี 2565 โดยอาศัยการมีส่วนร่วมจากชุมชนท้องถิ่นและอาสาสมัคร อีกทั้ง ยังได้กำหนดเป้าหมายระดับชาติ “Predator Free 2050” ในการกำจัดสัตว์นักล่าต่างถิ่นให้หมดภายในปี 2593
ระบบการทำงานของกำแพงไฟฟ้า
ที่มา : Invasive Species Centre
การดำเนินงานข้างต้นถือเป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์สำหรับไทย ทั้งนี้ การจัดการชนิดพันธุ์ต่างถิ่นนั้น จำเป็นต้องอาศัยวิธีการที่หลากหลาย โดยในส่วนของไทยควรมีการเร่งปรับปรุงบทกฎหมายให้เฉพาะเจาะจงหรือครอบคลุมมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง ยังอาจต้องพัฒนาระบบติตตาม การจัดทำฐานข้อมูล รวมถึงการสนับสนุนทุนด้านการวิจัยเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศจากการถอดบทเรียนพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกันภาคประชาสังคมและประชาชน ยังสามารถเฝ้าระวังป้องกันการรุกราน เช่น การไม่ปล่อยสัตว์น้ำ/พืชต่างถิ่น ลงสู่ธรรมชาติ รวมทั้งการแจ้งรายงานหากพบเห็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นผ่านหน่วยงานรับผิดชอบหลัก เช่น กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมประมง กรมปศุสัตว์ ฯลฯ หรือแจ้งไปยังหน่วยงานสนับสนุน อาทิ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น