Publish Date: 26/02/2025
จากสถานการณ์ความยากจนหลายมิติกับเป้าหมาย SDGs สศช. จึงได้พัฒนาดัชนีความยากจนหลายมิติของประเทศไทย (MPI) เพื่อนำมาใช้ในการประเมินความก้าวหน้าของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในการยุติความยากจนทุกรูปแบบในทุกที่ โดยในเป้าหมายย่อยที่ 1.2 คือ ลดสัดส่วน ชาย หญิง และเด็ก ทุกช่วงวัยที่อยู่ภายใต้ความยากจนในทุกมิติลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 โดยในปี 2566 ไทยได้บรรลุเป้าหมายในการลดสัดส่วนคนจนหลายมิติแล้ว โดยมีคนจนหลายมิติจำนวน 6.13 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8.76 จากประชากรทั้งหมด ลดลงจากปี 2558 ที่มีสัดส่วนคนจนหลายมิติร้อยละ 20.08 ทั้งนี้ พบว่า สัดส่วนคนจนหลายมิติในทุกช่วงวัยลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มวัยแรงงานจากร้อยละ 16.06 เป็นร้อยละ 6.03 เช่นเดียวกับเพศชายและหญิงที่ลดลงจากร้อยละ 20.39 และ 19.80 เป็นร้อยละ 9.05 และ 8.50 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม สัดส่วนคนจนหลายมิติในเกือบทุกภูมิภาคลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง ยกเว้นภาคใต้
ที่มา : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2566
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายเกิดจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ และนโยบายรัฐ อาทิโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นอกจากนี้ หากพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของตัวชี้วัด MPI จะพบตัวชี้วัดที่มีการพัฒนาที่ดีขึ้นมาก คือ การใช้อินเทอร์เน็ต การเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาด การกำจัดขยะที่เหมาะสม การเข้าถึงการศึกษา และการมีบำเหน็จบำนาญ โดยมีสาเหตุสำคัญมาจาก 1) การพัฒนาของโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค 2) การพัฒนาระบบการศึกษา หลักสูตร และการอุดหนุนทรัพยากรการศึกษา และ 3) การสร้างและเพิ่มความครอบคลุมของหลักประกันทางสังคม
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความยากจนหลายมิติของไทยยังมีประเด็นท้าทายหลายด้าน ดังนี้ 1) แม้ว่าคนจนหลายมิติจะลดลงได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังมีคนจนอยู่อีกจำนวนมาก โดยเฉพาะคนจนอีกกว่าร้อยละ 18.8 ที่กำลังประสบปัญหาทั้งคุณภาพชีวิตและการเงิน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีปัญหาซับซ้อน อาจหลุดพ้นความยากจนได้ยาก 2) คนไทยอีกกว่า 24 ล้านคน เสี่ยงต่อการเป็นคนจนหลายมิติ หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 34.7 ของประชากรทั้งหมด โดยมีความขัดสนในด้านการมีบำเหน็จ/บำนาญมากที่สุด 3) การแก้ปัญหาความยากจนหลายมิติต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งยังมีข้อจำกัดหลายประการ แม้ว่าจะมีบำเหน็จ/บำนาญรองรับยามเกษียณมากกว่าในอดีต แต่สัดส่วนคนจนหลายมิติที่ไม่มีบำเหน็จ/บำนาญอยู่ในอันดับสูง อีกทั้ง ข้อจำกัดการดึงแรงงานนอกระบบให้เข้าสู่ระบบ รวมถึงการทำงานของคนรุ่นใหม่ที่อาจทำให้มีเสี่ยงต่อการไม่มีหลักประกันยามเกษียณ และ 4) การใช้นโยบายที่เหมือนกันในทุกพื้นที่ อาจไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนหลายมิติได้อย่างตรงจุด เนื่องจากปัญหามีความเชื่อมโยงกันไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดปัญหาหนึ่งเพียงอย่างเดียว
ที่มา : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2566
โดยจากกรณีศึกษาของต่างประเทศที่นำ MPI มาประยุกต์ใช้ อาทิ ภูฏาน ใช้ MPI ในการตั้งเป้าหมายระดับประเทศและการวางแผนจัดสรรงบประมาณ เม็กซิโก นำข้อมูล MPI มาใช้กำหนดกลุ่มเป้าหมายและจัดลำดับความสำคัญในการแก้ปัญหา เวียดนาม มีการจัดทำและวิเคราะห์ข้อมูล MPI ร่วมกับข้อมูลอื่น เพื่อสร้างความคุ้มครองทางสังคมให้แก่คนจนหลายมิติและประชาชนที่ขัดสนด้านต่าง ๆ และ โคลอมเบีย ที่ใช้ในการจัดทำกรอบทะเบียนครัวเรือนยากจนแห่งชาติ (SISBEN) ทั้งนี้ ไทยจึงต้องมีแนวทางการลดความยากจนในระยะถัดไป ดังนี้ 1) การปรับเป้าหมาย ตัวชี้วัด และเกณฑ์ความขัดสนให้มีความท้าทายยิ่งขึ้น 2) การส่งเสริมให้นำ MPI มาวิเคราะห์เพื่อหากลุ่มเป้าหมายในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาความยากจน 3) การใช้ MPI เป็นข้อมูลประกอบการจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหา และ 4) การจัดทำข้อมูลให้สะท้อนคุณภาพชีวิตและครัวเรือนทุกรูปแบบเพื่อให้สามารถออกแบบนโยบายช่วยเหลือคนเหล่านี้ให้ได้อย่างแท้จริง